วันนี้เป็นวันที่ 14 เมษายน เป็นวันสงกรานต์ และวันผู้สูงอายุ เราเลยถือโอกาสพาเพื่อนๆมาเยี่ยม คุณปู่ เครื่องเล่นเทปคลาสเซ็ท ตำนานที่ยังมีลมหายใจอยู่ ว่าต้นกำเนิดที่มาเป็นยังไงกันบ้าง
ค.ศ.1935 จุดเริ่มต้นก่อนที่จะมีเครื่องเล่นเทปคาสเซ็ทพกพา(Tape player) บริษัท AEG ในประเทศเยอรมนีได้คิดค้นเครื่องอัดเทปแบบ Reel-to-reel เป็นเครื่องแรกของโลก ชื่อว่า “ Magnetophon ” โดยใช้เทคโนโลยีพื้นฐานมาจากเทปแม่เหล็กที่ค้นคว้าโดย Fritz Pfleumer แต่ตัวเครื่องก็มีราคาสูงมาก (ราคาประมาณ 70,000 – 150,000 บาท) มีขนาดใหญ่ เพราะต้องใช้หลอดสุญญากาศเป็นส่วนประกอบในการทำงาน
จึงมีการใช้แค่ในสถานีวิทยุหรือห้องอัดเสียงเป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยนิยมใช้งานภายในบ้าน และเครื่องอัดเทป Magnetophon เสื่อมความนิยมลงในช่วงปี 1950 เพราะการนำไปใช้งานได้ค่อนข้างลำบาก
ค.ศ.1960 ก็มีการคิดค้นทรานซิสเตอร์ที่มีขนาดเล็กกว่า ทนทานกว่า และราคาถูกกว่า มาใช้แทนหลอดสุญญากาศ ทำให้ขนาดและราคาของเครื่องอัดที่เปลี่ยนมาใช้ทรานซิสเตอร์แทนหลอดสุญญากาศ ถูกลงกว่าเดิม ทำให้มีการใช้งานโดยผู้ใช้งานทั่วไปมากขึ้น
ค.ศ.1962 บริษัท Philips ได้คิดค้นเทปคาสเซ็ทพกพาออกมา (หรือที่เราเรียกกันสั้นๆ ว่าเทปคาสเซ็ท) โดยมีจุดประสงค์ใช้สำหรับเพลงโดยเฉพาะ และในต่อมาเทปคาสเซ็ทก็ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ต่อมาฟิลลิปก็ออกเครื่องเล่นและอัดเสียง Carry-Corder 150 ในยี่ห้อ Norelco ซึ่งทำให้เทปคาสเซ็ทยิ่งได้รับความนิยมขึ้นไปอีกNorelco รุ่น Carry-Corder 150 (เครื่องเล่นเทปเครื่องแรก)
ค.ศ.1968 เครื่องเล่นเทปคาสเซ็ท สามารถได้มากถึง 2.4 ล้านเครื่อง จากผู้ผลิตกว่า 85 บริษัท ซึ่งเป็นยอดขายที่สูงมาก
ค.ศ. 1970 ในช่วงแรกของเทปคาสเซ็ท คุณภาพเสียงที่ได้นั้นยังไม่ดีนัก อยู่เพียงแค่ระดับที่พอฟังได้ ในปีนี้ได้มีการปรับปรุงคุณภาพเสียงของเทปคาสเซ็ท
ซึ่งทำให้เทปคาสเซ็ทเริ่มกลายเป็นทางเลือกสำหรับคอเพลงที่นิยมเพลงที่มีคุณภาพเสียงสูง ส่งผลกระทบกับแผ่นไวนิลที่เป็นครองเจ้าตลาดเดิมอยู่
ค.ศ. 1980 โซนี่ได้เปิดตัวเครื่องเล่นเทปคาสเซ็ทแบบพกพา Sony Walkman ส่งผลให้ความนิยมของเทปคาสเซ็ทยิ่งสูงขึ้นกว่าเดิม
Sony Walkman รุ่น TPS I2
ค.ศ.1990 สิบปีต่อมาเป็นช่วงที่เทปคาสเซ็ทมีความนิยมสูงสุด สามารถแซงแผ่นไวนิลได้เจ้าตลาดเดิมได้ และค่อยๆ ลดความนิยมลง หลังจากที่ความนิยมของแผ่นซีดีเริ่มเพิ่มมากขึ้น
ค.ศ. 1993 เป็นปีที่มีการส่งมอบเครื่องเล่น CD มากขึ้นมาถึง 5 ล้านเครื่อง (เพิ่มขึ้น 21% จากปี 1992) ส่งผลให้เครื่องเล่นเทปคลาสเซ็ท กลับลดการส่งมอบลงไปเหลือเพียง 3.4 ล้านเครื่องเท่านั้น ยอดลดลงมาอย่างน่าใจหาย
ค.ศ. 2001 เป็นยุคต่ำสุดของเทปคลาสเซ็ท จากที่บรรดาศิลปินที่ผลิตเพลงขายบนเทปคาสเซ็ท คิดเป็นรายได้เพียงแค่ 4% เท่านั้น และยังคงลดต่อมาเรื่อยๆ
ค.ศ. 2007 ยอดขายของเทปเพลงก็เหลือเพียง 247,000 ตลับ
ค.ศ. 2009 เป็นปีที่เลวร้ายสุดของเทปคลาสเซ็ทมีเหลือยอดขายเพียง 34,000 ตลับเท่านั้น เมื่อเทียบกันกับในปี 1990 ที่มียอดจำหน่ายสูงถึง 442 ล้านตลับ (สถิติในสหรัฐอเมริกา) จากสัญญาณนี้ทำให้ค่ายเพลงหลายๆ ค่าย ได้ลดกำลังผลิต หรือยกเลิกการผลิตเทปเพลงลงตั้งแต่ช่วงปี 2002 – 2003 ทำให้เครื่องเล่นเทป กลายเป็นตำนานไป
ในปัจจุบันยังเหลือเพียงบางประเทศเท่านั้นที่ยังคงขายเทปเพลง (เช่นอินเดีย) อันเนื่องมาจากต้นทุนที่ถูกกว่า และในช่วงหลัง การออกผลงานในรูปแบบเทปเพลง เริ่มกลับมาได้รับความนิยมมากขึ้นในหมู่ศิลปินอินดี้
อันเนื่องมาจากต้นทุนที่ถูก และสามารถป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ (แชร์เพลงบนอินเทอร์เน็ตโดยไม่ได้รับอนุญาต) ได้ดีในระดับหนึ่งหรือทำแจกเพื่อเป็นที่ระลึกกับแฟนเพลง ยกตัวอย่างเช่น วง Polycat ผลิตออกเพื่อแจกเป็นที่ระลึกกับแฟน ผลิตออกมาจำนวนน้อย
เทป วง Polycat จากค่าย Smallroom
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับเทปคลาสเซ็ทในประเทศไทย
ศิลปิน ที่ทำยอดขายเทปทะลุล้านตลับเป็นนักร้องหญิงคนแรกของเมืองไทย : คริสติน่า อากีล่าร์ ชุดนินจา ในปี พ.ศ.2533
เรียบเรียง: www.thaimp3player.com
ต้นฉบับ:http://th.wikipedia.org/wiki/ตลับเทป
ภาพ:https://www.facebook.com/listenadd/posts/416875101815197 และอินเตอร์เน็ท http://technabob.com/blog/2007/02/08/a-brief-history-of-portable-media-players/